หัวเทียนรถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งต่อเครื่องยนต์ วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยต่างๆแบบเจาะลึกกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของหัวเทียนรถยนต์,ชนิดหัวเทียนรถยนต์,วิธีเปลี่ยนหัวเทียนรถยนต์,วิธีการดูรุ่นของหัวเทียนรถยนต์,การตรวจสอบสภาพหัวเทียนรถยนต์,อาการที่ต้องเปลี่ยนหัวเทียนรถยนต์ ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันที่ละข้อเลยครับ
หัวเทียนรถยนต์ เป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์เบนซิน โดยรับแรงไฟมาจากจานจ่าย ผ่านสายหัวเทียน และมายังหัวเทียน ซึ่งทำหน้าที่สร้างประกายไฟเพื่อจุดระเบิดในห้องเผาใหม้ โดยมีส่วนประกอบคือ ขั้วหัวเทียน,ฉนวน,ขั้วกลาง,เปลือก,ปะเก็น
1.หัวเทียนร้อน เป็นหัวเทียนที่ระบายความร้อนจากการเผาไหม้ออกสู่ภายนอกได้น้อยเพราะฉนวนบริเวณหัวที่ยาว และช่องว่างแคบซึ่งจะทำให้มีความร้อนสะสมไว้มาก หัวเทียนชนิดนี้ส่วนมากจะใช้กับรถที่รอบเครื่องยนต์ไม่สูงหรือใช้งานสั้นๆ จึงไม่ควรใช้กับรถที่มีรอบเครื่องยนต์สูงและทำงานหนักเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
2.หัวเทียนเย็น เป็นหัวเทียนที่ระบายความร้อนได้ดีและรวดเร็ว จึงทำให้เครื่องยนต์ไม่ร้อนเกินไป เพราะฉนวนบริเวณที่หัวสั้น และช่องว่างกว้าง หัวเทียนชนิดนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับรถที่รอบเครื่องยนต์ไม่สูงหรือใช้งานสั้นๆ เพราะอาจจะทำให้ตอนรถวิ่งนั้นเกิดการสะดุดได้ แต่เหมาะกับรถที่ใช้ความเร็วและรอบเครื่องยนต์สูงๆเป็นเวลานาน
3.หัวเทียนมาตรฐาน หัวเทียนชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไปโดยใช้งานหนักบ้างใช้งานเบาบ้าง เพราะฉนวนบริเวณที่หัวนั้น ช่องว่างไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป
ขอยกตัวอย่างยี่ห้อหนึ่งเช่น รุ่น BP7ES
– ตัว B หมายถึง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเกลียวหัวเทียน จะมีตั้งแต่แต่ตัว A =18 มม. ตัว B = 14 มม. ตัว C = 10 มม. ตัว D = 12 มม.
– ตัว P หมายถึง ชนิดของหัวเทียนที่มีกระเบื้องเคลือบฉนวนไว้
– เลข 7 หมายถึง ค่าของหัวเทียนว่าเป็นชนิดหัวเทียนร้อนหรือหัวเทียนเย็น ส่วมมากจะมีตั้งแต่ 2-13 ซึ่งตัวเลขยิ่งสูงแสดงว่าเป็นหัวเทียนชนิดเย็นแต่ถ้าตัวเลขยิ่งน้อยแสดงว่าเป็นหัวเทียนชนิดร้อน
– ตัว E หมายถึง ความยาวเกลียวหัวเทียน โดยส่วนมากจะมีตั้งแต่ตัว E = 19 มม. ตัว H = 12.7 มม. ตัว L = 11.2 มม.
– ตัว S หมายถึง ชนิดของหัวเทียนแบบพิเศษ เช่น S หมายถึง หัวเทียนมาตรฐาน G หมายถึง หัวเทียนที่ใช้สำหรับพวกรถแข่ง
สำหรับบางรุ่นที่มีตัวเลขต่อท้าย เช่น -11 จะหมายถึงระยะห่างของเขี้ยวจุดระเบิดคือ 1.1 มม.
1.รอบเดินเบาเครื่องยนต์ไม่นิ่ง ในขณะที่สตาร์ทรถจอดอยู่กับที่ จะมีการสั่น และสะอึกของเครื่องยนต์
2.สตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก เกิดจากการจุดระเบิดของหัวเทียน ไม่เต็มประสิทธิภาพ
3.เปลืองน้ำมันมากขึ้น เกิดจากเขี้ยวของหัวเทียนที่ผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งมีการสึกหรอและห่างมากขึ้น จนทำให้การจุดระเบิดไม่สมบูรณ์
4.ขณะรถวิ่งมีการกระตุก วิ่งไม่เรียบ หัวเทียนที่เสื่อมสภาพจนทำให้กระบอกสูบมีปัญหาส่งผลให้เวลาเหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่าเหยียบแล้วรถไม่พุ่ง หรือเร่งไม่ออกนั้นเอง
หลังจากที่ถอดหัวเทียนออกมาตรวจสอบแล้ว ควรสังเกตุดูว่าหัวเทียนนั้นอยู่ในสภาพใด ซึ่งแต่ละสภาพก็จะทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการผิดปกติที่แตกต่างกันไป คือ
วิธีแก้ไข ปรับส่วนผสมระหว่างอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ถูกและเปลี่ยนหัวเทียนใหม่
วิธีแก้ไข อาจจะเกิดจากการใช้หัวเทียนชนิดร้อนมากเกินไปหรือใช้หัวเทียนไม่ถูกชนิดกับรถยนต์รุ่นนั้น หรือการตั้งไฟแก่เกินไป หรือไม่ควรใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนต่ำเกินไป
วิธีแก้ไข ตรวจสอบไส้กรองอากาศว่าตันหรือไม่ สามารดูเพิ่มเติมได้ที่ กรองอากาศรถยนต์ และปรับตั้งส่วนผสมให้เหมาะสมจะช่วยทำให้ติดเครื่องยนต์ได้เป็นปกติแม้ในขณะที่เครื่องยนต์เย็น
การเปลี่ยนหัวเทียนรถยนต์จำเป็นต้องมีเครื่องมือ เช่น
1.ประแจขันน็อตเบอร์10 หรือตัวทีเบอร์10
2.ประแจสำหรับถอดหัวเทียน
3.ไขควงปากแบน
4.คีมปากจิ้งจก
เมื่อเตรียมเครื่องมือเสร็จแล้วเราก็มาเริ่มกันเลยครับ สำหรับรถยนต์ในบางรุ่นนั้นจะมีฝาครอบเครื่องยนต์อยู่ให้เราคลายน็อตออกเพื่อเปิดฝาครอบออก ทีนี้เราก็จะเห็นคอยล์จุดระเบิดบนเครื่อง ซึ่งก็จะมีทั้งรุ่นที่ดึงออกมาได้เลยและรุ่นที่มีทั้งกิ๊บล็อคสายไฟและน็อตเบอร์10ที่ยึดกับเครื่องยนต์ ให้ทำการปลดกิ๊บล็อคและคลายน็อตออก
ต่อมาคือดึงคอยล์จุดระเบิดขึ้นมาทั้งหมด แล้วใช้ประแจสำหรับถอดหัวเทียน คลายหัวเทียนออกมา หากคลายเกลียวหัวเทียนหมดแล้วหัวเทียนไม่ติดกับประแจขึ้นมาเราก็ใช้คีมปากจิ้งจกคีบหัวเทียนขึ้นมา จากนั้นให้นำหัวเทียนที่จะเปลี่ยนใหม่กลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม โดยใช้ประแจถอดหัวเทียนค่อยๆขันให้แน่น แต่ต้องระวังปีนเกลียวนะครับ แล้วขันให้แน่นแต่พอดีนะครับ ไม่ควรออกแรงขันมากเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดการเสียหายได้
การประกอบกลับเหมือนเดิมนั้นง่ายมากเพียงแค่นำคอยล์เสียบเข้าไปในตำแหน่งเดิมแล้วขันน็อตเบอร์10ที่ยึดกับตัวเครื่องให้แน่นพอตึงมือแล้วเสียบกิ๊บล็อคสายไฟให้แน่น บางรุ่นง่ายหน่อยคือแค่เสียบกลับเข้าไปที่ตำแหน่งเดิมได้เลยเพราะไม่มีน็อตยึด จากนั้นรุ่นที่มีฝาครอบก็นำฝากลับมาวางไว้และขันน็อตให้แน่น เพียงเท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น
ข้อแนะนำ
การเปลี่ยนหัวเทียนทุกครั้งควรเลือกชนิดหรือรุ่นของหัวเทียนที่ติดมากับรถเพราะปกติแล้วหัวเทียนที่ติดมากับรถตั้งแต่แรกทางผู้ผลิตรถยนต์ได้เลือกใช้หัวเทียนที่เหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์แต่ละรุ่นอยู่แล้ว ถ้าให้ดีดูรุ่นของหัวเทียนได้จากสมุดคู่มือประจำรถ เพราะหากมีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิม อาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดการเสียหายตามมาได้
โดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานของหัวเทียนรถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 20,000-40,000 โล ถ้าเป็นรถยนต์ที่ติดแก้สอายุการใช้งานจะอยู่ประมาณ 10,000-20,000 โล แต่แนะนำว่าควรตรวจสอบทุก 10,000 โล เพราะเมื่อผ่านการใช้งานเป็นระยะเวลานานเขี้ยวของหัวเทียนจะเกิดการสึกหรอ
ในการปรับตั้งเขี้ยวหัวเทียนให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพนั้นถ้าให้ดีการปรับตั้งควรให้ช่างผู้มีประสบการณ์ปรับตั้งจะดีที่สุดครับ และหากมีอาการผิดปกติของรอบเดินเบาเครื่องยนต์เกิดขึ้น สาเหตุอาจจะมาจากหัวเทียนหัวใดหัวหนึ่งเกิดการเสียหายจะทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เต็มสูบนั้นเอง ดั้งนั้นควรเปลี่ยนใหม่ทันที และอย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่ารถยนต์ของเรานั้นใช้หัวเทียนเบอร์อะไรซึ่งจะมีระบุไว้ในสมุดคู่มือจะได้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์นะครับ
ป้ายกำกับ:การตรวจสอบสภาพหัวเทียนรถยนต์, การทำงานของหัวเทียนรถยนต์, ชนิดหัวเทียนรถยนต์, วิธีการดูรุ่นของหัวเทียนรถยนต์, วิธีเปลี่ยนหัวเทียนรถยนต์, อาการที่ต้องเปลี่ยนหัวเทียนรถยนต์
If you enjoyed this article please consider sharing it!