Home » สาระความรู้ทั่วไป » วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม
  • วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม

    วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม และขั้นตอนการตรวจเช็ครถยนต์เบื้องต้น

    วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม

    น้ำท่วมหรือน้ำรอการระบายเป็นปัญหาในหลายพื้นที่ ยิ่งช่วงหน้าฝนที่มีปริมาณน้ำมาก ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง หากเราจำเป็นต้องขับลุยน้ำท่วมขัง หรือจอดรถที่เป็นพื้นที่ต่ำ เช่น ใต้ตึก ชั้นใต้ดิน โอกาศเสี่ยงสูงมากที่จะถูกน้ำท่วมรถ เราจึงรวบรวม วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วม ที่แบ่งตามความสูงของน้ำเป็น 2 ระดับดังนี้

    1.น้ำท่วมเพียง 15-30 เซนติเมตร หรือประมาณครึ่งล้อ น้ำไม่เข้ามาในห้องโดยสาร

    ล้างรถ เป็นอันดับแรกในสิ่งที่ควรทำหลังน้ำลดแล้ว ควรฉีดล้างทำความสะอาดตัวถังภายนอก ล้างคราบน้ำที่เกาะบริเวณสีของรถ ด้วยน้ำผสมแชมพู ฉีดน้ำล้างออกแล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง รวมถึงเปิดประตูเช็ดตามขอบบันได ให้คราบน้ำหรือเศษโคลนออกให้หมด ในส่วนของใต้ท้องรถ ให้ทำความสะอาดโดยใช้น้ำฉีดเข้าไปตามใต้ท้องรถ ตามล้อและซุ้มล้อ เพื่อให้เศษทราย หรือสิ่งสกปรกต่างๆหลุดออก ขั้นตอนนี้หากไม่สะดวกทำเองหรือไม่มีเวลา สามารถเข้าคาร์แคร์ก็ได้ครับ

    น้ำมันเกียร์และน้ำมันเฟืองท้าย ต่ำแหน่งของเกียร์และเฟืองท้ายส่วนมากจะอยู่ในต่ำแหน่งที่ต่ำจึงมีความเสี่ยงต่อการที่น้ำอาจจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์ได้ การตรวจสอบคือดึงก้านวัดของเกียร์ขึ้นมาตรวจสอบดูว่า ถ้าน้ำมันเกียร์มีสีที่ผิดปกติไปจากเดิมคือ เป็นสีชมพูคล้ายๆนมเย็น แปลว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทันที หรือถ้าหากตรวจเช็คแล้วไม่มั่นใจจะเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายเพื่อความสบายใจเลยก็ได้เพราะราคาไม่แพงเท่าไหร่

    ลูกปืนล้อ สังเกตุได้จากเวลาวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตร ขึ้นไป จะมีเสียงดังก้องในห้องโดยสารอยู่ตลอด เพราะลูกปืนล้อเป็นชึ้นส่วนที่มีจารบีเป็นตัวหล่อลื่น หากรถที่จมน้ำเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้จารบีที่อยู่ในลูกปืนล้อ หลุดออกหรือเหลือเพียงเล็กน้อย ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพราะอาจสร้างความเสียหายจนลูกปืนล้อแตกได้

    ระบบเบรค เป็นส่วนสำคัญที่ต้องตรวจเช็ค เพราะเมื่อรถที่จมน้ำเป็นระยะเวลานานทำให้จานเบรคเป็นสนิม และผ้าเบรคเกิดความชื้นได้ ดังนั้นหากน้ำลดลงแล้วควรขับรถเลียเบรคไปช้าๆสัก 100-200 เมตร โดยการแตะเบรคเบาๆ ค้างไว้ เพื่อไล่ความชื้นของผ้าเบรค และช่วยให้ผ้าเบรคเสียดสีกับจานเบรคเกิดความร้อนพร้อมกับขัดสนิมออกจากจานเบรคอีกด้วย วิธีนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของเบรคกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

    2.น้ำท่วมที่สูงเกินกว่า 30 เซนติเมตรขึ้นไป หรือเกินครึ่งล้อมีน้ำเข้ามายังห้องโดยสาร สิ่งที่ควรตรวจสอบเพิ่มเติมจากข้อที่ 1 คือ

    ไม่ควรติดเครื่องยนต์ทันที เพราะจากปริมาณน้ำที่สูงนั้นเราไม่แน่ใจว่าน้ำได้เข้าไปในห้องเครื่อง ตามแผงวงจรไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน เริ่มจากการเปิดฝากระโปรงหน้ารถขึ้นมา แล้วขันขั่วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและลบออก เพื่อไม่ให้กระแสไฟฟ้าที่ออกมาทำให้อุปกรณ์ต่างๆเสียหายได้

    ตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเช่น กล่องฟิวส์ กล่อง ECU และตามปลั้กไฟ ตามอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้เครื่องเป่าไล่ความชื้นออกให้แห้งมากที่สุด และใช้สเปรย์ไล่ความชื้นอีกที พร้อมทั้งตรวจสอบดูว่าหากมีสิ่งสกปรกหรือเศษขยะต่างมาติดตามห้องเครื่องให้เอาออกทันที

    เบาะนั่งและพรมต่างๆ ถ้าน้ำท่วมมายังห้องโดยสารจนทำให้พรมเปียกมีน้ำขัง วิธีคือเริ่มจากการถอดเบาะนั่ง และพรมออกมาซักแล้วจึงนำไปตากแดดให้แห้งสนิททันที เปิดประตูของรถให้หมดถ้าอยู่ตรงที่มีแดดได้ยิ่งดีเพื่อให้ความชื้นออกจากห้องโดยสารให้หมด จะทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นอับภายในห้องโดยสาร

    ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค และน้ำมันเพาเวอร์ หากน้ำที่ท่วมสูงจนถึงเครื่องยนต์โอกาศที่น้ำจะซึมเข้าระบบของเหลวต่างๆก็สูงเช่นกัน ควรตรวจสอบของเหลวเหล่านี้ว่าถ้าสีเปลี่ยนไปหรือไม่แน่ใจให้เปลี่ยนใหม่ทันที

    ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง สังเกตุดูว่าถ้าตามโคมไฟส่องสว่างมีน้ำเข้า ควรนำโคมไฟออกมาเอาน้ำออกและเป่าแห้งทันที  และควรใช้งานได้ตามปกติ

    ทำความสะอาดรังผึ้งของหม้อน้ำ เอาสิ่งสกปรกและคราบโคลนออกให้หมดเพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อแนะนำ

    ในกรณีที่รถยนต์จมน้ำท่วมสูงมากจนถึงหลังคารถหรือท่วมทั้งคันเป็นระยะเวลานานหลายวัน  หากไม่มั่นใจว่าจะแก้ไขได้ หรือตรวจสอบไม่ทั่วถึงในบางขั้นตอนแนะนำว่าให้ช่างหรืออู่ที่ได้มาตรฐานตรวจสอบจะดีที่สุด เพื่อให้ช่างตรวจสอบระบบไฟฟ้าตามจุดต่างๆ ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติเช่นเดิม

      วิธีดูแลรถหลังน้ำท่วมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หากเราเจอในสภาพที่น้ำท่วมรถไม่มากเราสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง แต่ยังมีหลายส่วนอีกมากมายที่ต้องตรวจเช็ค ถ้าตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแก้ไขเองได้ควรเข้าศูนย์บริการเพื่อความสบายใจและลดความเสี่ยงต่อความเสียหายอื่นๆนะครับ

    CREDIT PP2CAR.COM

    ป้ายกำกับ:, , , ,